ปฎิทิน

16 กันยายน 2553

ความรัก กับ ความแค้น อยู่ใกล้กันนิดเดียว


ความรัก กับ ความแค้น

สองสิ่งนี้ มันไม่เคยอยู่รวมกัน มันไม่เคยเข้ากันได้

คล้าย... น้ำกับน้ำมัน

เมื่อนำมาเทรวมกัน..ก็ไม่มีทางกลืนกินเป็นเนื้อเดียว

แต่... มันกลับเป็นของคู่กัน

เมื่อความรักจากไปอย่างไม่ดีนัก

ครั้งหนึ่ง "เคยรัก" รักที่เขาเป็นเขาในแบบที่เราอยากให้เป็น

ครั้งนี้ "แค้น" เพราะเกลียดที่เขากลับมาเป็นตัวของตัวเอง แสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา

อย่างที่เขาว่ากันว่า "ทั้งรักทั้งแค้น" นั่นเอง

คิดถึงสิ่งที่เขาเคยเป็น...นั่นรัก

คิดถึงสิ่งที่เป็นอยู่...ก็เกลียด

สลับไปสลับมาจนเป็นความสับสน

แต่... ความรักที่มี.. มันก็คงอยู่ที่เดิมของมัน

อยู่ในแก้วน้ำใสอย่างสงบนิ่ง

แล้วความแค้นที่เกิดจากความเกลียดก็ถูกเทเติมเต็ม

จนทับถมความรักที่มีอยู่...

เป็นของคู่กัน

เพื่อรอ..

วันนึงเราจะกลับมาคิดถึงมันอีก

วันนั้นอาจเป็นวันที่ความรักกับความแค้น

กลายเป็นตะกอน...อยู่ก้นแก้วแล้วก็เป็นได้

อย่าทำลายรักของคุณด้วยคำว่า เบื่อ


หลังจากหมดช่วงข้าวใหม่ปลามัน

คู่แต่งงานส่วนใหญ่ มักจะให้ความสนใจ ในเรื่องการสร้างครอบครัวเป็นหลัก ยิ่งถ้าอยู่ในฐานะคุณแม่บ้านด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งแล้วใหญ่ค่ะ เพราะต้องรับบทหนักทั้งงานราษฎร์งานหลวง สุดท้ายก็ไม่เหลือ เวลาส่วนตัวให้ตัวเองได้หายใจหายคอ หรือเอาอกเอาใจคนรักอย่างที่เคยทำ

ของแบบเนี้ยนะ ยิ่งนานก็ยิ่งชิน

ยิ่งชินก็ทำให้เบื่อ และนี่แหละคือที่มาของโรคเบื่อ ที่จะทำให้คุณกลายเป็นแม่น้ำพริกถ้วยเก่า ของคุณสามีที่ยังรักชอบความตื่นเต้นในชีวิตอยู่ไปเสียฉิบ

ทำยังไงไม่ให้ "เบื่อ"

1. ความเชื่อใจกัน

ความเชื่อใจนี้ ถือเป็นการให้เกียรติ และการยอมรับในความต้องการที่แตกต่างของกันและกันหมายถึงทั้งคู่ต้องไม่โกหก หลอกลวงและจะไม่พูดหรือทำสิ่งใดที่ทำให้อีกคนต้องเสียใจ หรือเป็นการทำลายชีวิตคู่

2. การรักษาสัญญา

นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตแต่งงาน เมื่อคุณได้ให้สัญญาต่อกัน สัญญานั้น เปรียบเสมือนเกราะป้องกัน ไม่มีสิ่งใดมาทำลาย ความรักของคุณได้ "จะรักคุณไม่ว่ายามเจ็บหรือยามสบาย จะรักคุณจนกว่าชีวิต จะหาไม่" คำสัญญานี้ จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายจาก กันไปเท่านั้น

การรักษาคำมั่นสัญญา นอกจากจะช่วยให้คุณทั้งสอง สามารถ ผจญกับ อุปสรรคต่างๆ จนไปถึงเป้าหมายสูงสุดได้แล้ว มันยัง ช่วยให้คุณดิ่งลงสู่ ก้นเหวแห่งความทุกข์..เพราะคุณ ผิดคำ สัญญานั้น

3. มีทักษะความชำนาญ

ชีวิตแต่งงาน เป็นการที่คนทั้งสอง ตกลงว่าจะอยู่ด้วยกัน ไปตลอดชีวิต ซึ่งต้องอาศัยการทำความเข้าใจกันมากเป็นพิเศษ คุณต้องสามารถ แสดงออกว่า ต้องการอะไร รู้จักรับฟังเหตุผล ของอีกฝ่าย สามารถ ตัดสินใจ ในเรื่องต่างๆ ได้ดี สามารถไกล่ เกลี่ยต่อรองได้ แก้ปัญหาข้อขัดแย้งได้ ให้ความสนใจที่จะ พูดคุยกัน

และแน่นอน คุณจำเป็นต้องรู้ว่าจะทำมาหากินอะไร และรู้วิธีทำอาหาร วิธีดูแลบ้านช่องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสำคัญที่สุดวิธีการเป็นพ่อเป็นแม่คนที่ดี เขาทำกันอย่างไร

4. การเอาใจใส่ดูแล

วิธีทะนุถนอมให้ชีวิตคู่ยืนยาวนั้น คุณต้องรู้จักวิธี เอาอกเอาใจกันบ้าง บางคู่แค่มองตา ก็รู้ว่าต้องการอะไร และจะทำแต่สิ่งที่เขาชอบและจะไม่ทำอะไรที่เขาไม่ชอบให้ขุ่นเคืองใจ ซึ่งจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน ที่ได้คุณเป็นคู่ชีวิต

5. การเอาใจเขามาใส่ใจเรา

"จงทำกับคนอื่นเหมือนกับ ที่อยากให้คนอื่นทำกับคุณ" หมายความว่า การจะทำสิ่งใดก็ตาม ให้คุณคิดก่อนว่าเมื่อทำแล้วจะทำให้เกิดผลดีผลเสียกับใครหรือเปล่า ถ้าไม่ดีก็อย่าทำเพราะ คุณคงไม่อยากให้ใครมาทำแบบนั้นกับคุณเหมือนกัน

วิธีนี้นอกจาก จะช่วยป้องกันไม่ให้คุณทำอะไรที่จะทำร้ายจิตใจคนที่คุณรักแล้วยังเป็นเหมือนตาข่ายที่จะช่วยกลั่นกรองให้คุณทำหน้าที่สามีหรือภรรยาที่ดี ได้สำเร็จอีกด้วย

6. ความเพียร

จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณเป็นคนที่เชื่อใจได้ รักษาสัญญา มีความรู้ มีทักษะ และรู้วิธีดูแล เอาใจใส่ แต่ไม่ได้ใช้มัน การที่ชีวิตคู่จะ อยู่ดีมีสุขได้ คุณต้องใช้ ความพยายามในทุกๆ ด้าน ตลอดทั้งชีวิตของคุณ ทีเดียว

7. การคาดหวัง

เหตุผลอย่างหนึ่ง ที่ทำให้คู่สามีภรรยารู้สึกว่าชีวิตแต่งงานของตัวเองล้มเหลว เมื่อพบว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งความหวังกับ ตัวเองไว้สูงมาก เป็นเรื่องปกติที่ คนเราจะวาดวิมานในอากาศ ถึงความสุขีสุโข กับชีวิตคู่ โดยคาดหวังว่า คู่ของตัวจะต้องเลิศเลอเพอร์เฟค เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดี เป็นตู้ ATM ให้กดได้ตลอดเวลา และที่สำคัญ มีความช่ำชองที่สุด กับเรื่องบนเตียง

เฮ้ย.. ดูท่าความ ฝัน คงไม่มีทางเป็นจริงได้!

เพราะเรื่องจริงกับ ความฝัน มันช่างห่างไกลกันเหลือเกิน แน่นอนที่คุณจะต้องพบกับความผิดหวังครั้งใหญ่ ต้องเผชิญกับความล้มเหลว ความเสียใจ แต่เชื่อเถอะ ในที่สุด คุณจะค่อยๆ ยอมรับความจริงได้เอง

รักหมดอายุจะรู้ได้ไง


ถ้าเมื่อไร คนรักของเราเริ่มแสดงอาการอย่างนี้ ให้เตรียมใจไว้ได้เลย

ไม่สนใจ เขาขาดการติดต่อ ไม่โทรหา เราโทรไปก็ไม่รับ นัดมาเจอก็ไม่ว่าง โอกาสสำคัญอะไรก็ลืมหมด ไม่รัก เจอกันทีไรก็ทำท่าเซ็ง เย็นชาใส่ ทำอะไรให้ก็ไม่ถูกใจ พอเอ่ยปากถามก็ทำรำคาญ โมโห เสียงดังกลบเกลื่อน

ไม่เข้าใจ ถ้ารู้สึกว่า

เราสองคนต่างกันมาก คิดอะไร มองอะไรก็ไม่เหมือนกัน ไม่มีอะไรเข้ากันได้สักอย่าง และอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะปรับตัวด้วย พอนานๆ ไป ก็ยิ่งอึดอัด สักวันความรักก็อาจมาถึงทางตัน

ถ้าลองดูอาการสักระยะ

แล้วทุกอย่างยังเหมือนเดิม คงต้องทำใจ แต่จะตัดสินใจจบความสัมพันธ์หรือไม่ ก็ให้คิดให้ดีๆ ถ้ารักเขามาก ยังไม่อยากเสียเขาไป ก็อาจจะลองคุยกันดูว่าปัญหาเกิดจากอะไร ทั้งสองคนจะปรับตัวกันได้ไหม แต่ต้องจำไว้ว่า ความรักบังคับใจกันไม่ได้ ถ้าเขาไม่รัก ไม่สนใจเราแล้ว ยื้อกันไปก็ไม่มีความสุข ควรจะให้โอกาสตัวเองมีอิสระดีกว่า คิดเสียว่า เป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะได้เจอกับคนใหม่ๆ ซึ่งอาจจะเหมาะกับเรามากกว่าในอนาคต

15 กันยายน 2553

10 วิธีเมื่อคิดจะเลิกดื่ม


ผู้ที่ดื่มจนติดเป็นนิสัย ถ้าไม่ดื่มมีอาการทั้งทางร่างกายและจิตใจต่างๆนานา

หากคิดจะเลิกดื่มต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อจะได้ไม่มีอันตรายจากผลข้างเคียงที่ดื่มเหล้ามานาน หรือค่อยๆลดการดื่มให้น้อยลงโดยวิธีการต่อไปนี้ คือ

ดื่มพร้อมอาหารเท่านั้น
ดื่มน้ำเปล่าดับกระหาย และดื่มน้ำเปล่าสลับบ้างในระหว่างที่ดื่มแอลกอฮอลล์
เปลี่ยนแก้วใหญ่เป็นแก้วเล็ก
เปลี่ยนไปดื่มเบียร์ชนิดที่มีแอลกอฮอลล์ต่ำ
หลีกเลี่ยงไม่ไปผับหลังเลิกงาน
หลีกเลี่ยงหรือจำกัดเวลาที่พบปะกับเพื่อนที่ดื่มจัด
ถ้าถูกกดดันให้ดื่ม ให้ปฏิเสธว่า “หมอสั่งให้ดื่มน้อยลง” วิธีอื่นๆ
วางแผนทำกิจกรรทอย่างอื่นแทน ในช่วงเวลาที่เคยดื่ม
เมื่อเครียด ให้ไปเดินเล่น หรืออกกำลังกาย
มองหาและทำสิ่งที่น่าสนใจใหม่ๆ

5 อย่า !!! เมื่อคุณจะนอน


อย่านอนหลับไปพร้อมๆ กับนาฬิกาข้อมือ

เพราะขณะที่นาฬิกาทำงานไปเรื่อยๆ นั้น ล้วนปล่อยพลังงานทั้งสิ้น เชื่อมั้ยว่าการใส่นาฬิกาข้อมือนอน จะมีผลต่อสุขภาพระยะยาวเลย

อย่าคุยโทรศัพท์มือถือจนหลับ

รวมถึงอย่าวางโทรศัพท์มือถือไว้ใกล้ๆ ตัวด้วย บางคนที่ชอบใช้มือถือเป็นนาฬิกาปลุกยามเช้า กรุณาเก็บมือถือของท่านไว้ให้ไกลตัวที่สุดเมื่อจะนอนซะเถอะ ไปหาซื้อนาฬิกาปลุกถูกๆ ดีๆ เก๋ๆ มาใช้ดีกว่า

เพราะมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า

โทรศัพท์มือถือเครื่องจิ๋วเนี่ย จะปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าออกมาขณะเปิดเครื่องไว้ และเจ้าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหล่านี้ มีผลกับระบบประสาทซะด้วยสิ เพราะฉะนั้น ตอนนอนก็ปิดโทรศัพท์มือถือซะดีกว่า

พอปิดโทรศัพท์มือถือเรียบร้อยแล้ว จะวางไว้ใกล้หรือไกลก็หายห่วง

อย่าหลับพร้อมๆ กับเครื่องสำอาง

ไม่ว่าจะเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าขนาดไหน ต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด เพราะการหลับทั้งๆ ที่เครื่องสำอางยังคาอยู่ที่ผิวหน้านั้น

จะก่อให้เกิดปัญหาด้านผิวพรรณระยะยาว กลางคืนคือช่วงเวลาที่ผิวพรรณจะได้พักผ่อนบ้างนะค่ะ

อย่านอนหลับทั้งๆ ที่ยังใส่ยกทรง

นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน ค้นพบว่าการใส่ยกทรงนานเกิน 12 ชั่วโมง จะเป็นการเพิ่มอัตราเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งทรวงอกได้ ฉะนั้น ก็อย่าใส่ยกทรงนอนเลย ไม่ต้องกลัวเสียทรง ไม่ต้องกลัวอกแบะ ห่วงชีวิตไว้ก่อนดีกว่า

อย่านอนกับสามีหรือภรรยาของคนอื่น

เพราะคุณอาจจะไม่ได้ตื่นอีกเลย . . . (อันนี้ขำๆ ค่ะ แต่ถ้าแฟนเขารู้คุณๆ อาจขำไม่ออกนะจ๊ะ)

ถูก หรือ ผิด กับคำว่ารัก

.......เค้าว่าเรื่อง “ความรัก” ไม่มีคำว่าถูกและผิด
คุณไม่ผิดที่ไปรักเค้าคนนั้น
และเค้าเองก้อคงไม่ผิดที่ไม่ได้รักคุณ
ในทางตรงข้าม
คุณไม่ผิดที่ไม่ได้รักเค้าคนนั้น
และเค้าก้อไม่ผิดที่มารักคุณเช่นกัน
.........การห้ามใจไม่ให้รักนั้นยากนัก
แต่คงเทียบไม่ได้กับการห้ามใจให้ลืมรักเพราะย่อมยากกว่า
คุณอาจทำได้เมื่อมีใครอีกคนก้าวเข้ามาในชีวิตคุณ แต่มันคงไม่ง่าย
ถ้าคุณต้องหักใจให้ลืมในขณะที่คุณอยู่คนเดียว
..........เค้าว่าการชนะใจตัวเองนั้นอาจดีและมีค่าที่สุด แต่ในเรื่องความรัก
การชนะใจคนที่เรารักนั้นอาจย่อมมีค่ากว่า
แต่มันอาจมีค่ากว่านั้น
ถ้าคุณสามารถชนะใจตัวเองที่จะปฏิเสธกับความรักที่ย้อนมาหาคุณ
และมันอาจมีค่าที่สุด
ถ้าคุณยอมที่จะ “แพ้” ใจตัวเองเพื่อจะกลับไปหาความรักนั้น
...........ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน
แต่อย่าลืมว่าบนโลกไม่ได้มีแค่เค้าทั้งคู่
อย่าโกรธเค้าที่ต้องปฏิเสธรักจากคุณ
ด้วยเหตุผลว่าเราเข้ากันไม่ได้
ด้วยเหุผลว่าสังคมเราต่างกัน
ด้วยเหตุผลว่าเค้ายังรักคุณอยู่
ด้วยเหตุผลว่าเค้ารักคนอื่นที่มีค่าพอกับคุณ
............วิทยาศาสตร์อาจต้องการเหตุผล
แต่เรื่องความรักย่อมไม่ต้องการเหตุผลใดใด
คนดีอาจรักกับคนเลว
จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนผิด
จงอย่าโทษเค้าว่าเค้ารักคนที่ไม่เอาไหน
และจงอย่าโทษตัวเองว่าเรารักคนที่ไม่ดี
เพราะสิ่งที่คุณทำนั้นถูกต้องแล้ว
จงเชื่อในสายตาของตัวเอง
จงเชื่อประตูหัวใจอันมีค่าที่เลือกจะเปิดรับเค้าคนนั้น
............แม้ใครจะพูดว่าคู่ของเราเป็นคนไม่ดี
แต่ในแง่ของความรัก
คุณทั้งสองเป็นคนดีของกันและกัน
อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนตาบอด
อย่าโกรธเค้าที่บางครั้งเค้ายอมเป็นคนหูหนวก
บางครั้งการไม่เห็นและไม่ได้ยิน
เพื่อรักษาและถนอมความรักเอาไว้
ก็อาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
.............นิยามความรักแต่ละคนย่อมต่างกัน
ไม่แปลกที่บางคู่อาจทะเลาะกันทั้งวัน
ไม่แปลกที่บางคู่อาจหวานให้แก่กันได้ทั้งวัน
และไม่แปลกที่บางคู่ต่างเฉยชาต่อกัน
และก้อคงไม่แปลกเลยที่บางคู่อาจต่างกันราวฟ้ากับดิน

เพราะบางครั้งความรักคือ การเติมเต็ม

แต่บางครั้งความรักอาจคือ การเสียสละและการแบ่งปัน

บางคนความรักอาจเป็น การดูแลและปกป้อง

อย่าไปคิดว่าทำไมคู่เราถึงไม่เหมือนคู่ของใครเค้า
อย่าไปคิดว่าคู่เราแปลกหรือเปล่า
อย่าไปสนใจว่าเราควรเปลี่ยนแปลงอะไรมั๊ย

ถ้าจะเปลี่ยน ขอให้เพื่อรักมิใช่เพื่อเลิกรัก …..

ความผิดหวัง บอกเรา.....


ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง ความอดทน

เราสามารถเอาชนะความรุ่มร้อน และอ่อนแอได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าตั้งใจอย่างจริงจัง วันนี้ยังมีทางแก้ไขได้

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง การค้นคว้า

เราสามารถเอาชนะความเขลา และเกียจคร้านได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าจัดการกับตัวเองได้ วันนี้ยังมีทางสมหวัง

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง ความไม่ประมาท

เราสามารถเอาชนะความเผลอเรอ และหลงลืมได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าฝึกฝน วันนี้ยังมีทางเป็นไปได้

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง การช่วยเหลือ

เราสามารถเอาชนะความใจแคบ และมีอคติได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าเพาะความเมตตา วันนี้ยังไม่สายเกินไป

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง ความตั้งใจจริง

เราสามารถเอาชนะความหวั่นไหว และหวาดกลัวได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าเริ่มต้น วันนี้ยังมีทางสำเร็จ

13 กันยายน 2553

ที่มาของคำว่าแม่ซื้อ

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า “แม่ซื้อ น. เทวดาหรือผีที่ประจำทารก, แม่วีก็เรียก” นอกจากนั้นแล้วยังหมายถึงหญิงที่รับเป็นแม่ชื้อ (ซื้อเด็กจากหมอตำแย) ตามประเพณีด้วย

คนโบราณเชื่อว่ามนุษย์ที่จะเกิดขึ้นมานั้น ผีจะปั้นหุ่นขึ้นก่อนแล้วจึงหาวิญญาณมาใส่ จากนั้นจึงส่งให้มาเกิดในครรภ์สตรี

ในอดีตการแพทย์ยังไม่เจริญ เด็กแรกเกิดอาจรอดหรือตายได้เท่า ๆ กัน เด็กที่ตายมักตายภายใน ๓ วัน (เป็นทีมาของคำแช่ง--ขอให้ตายใน ๓ วัน ๗ วัน) จึงเชื่อกันว่าเป็นเพราะแม่ผีที่ปั้นหุ่นนั้นเห็นเด็กน่ารัก จึงทำเด็กให้ตายเพื่อที่จะนำเด็กไปเลี้ยงดูเอง ถ้าผีไม่ชอบใจก็ปล่อยให้แม่มนุษย์เลี้ยง ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีวิธีหลอกไม่ให้แม่ผีเอาเด็กกลับไปเลี้ยงเอง อาทิ ชมเด็กทารกด้วยถ้อยคำรังเกียจ เช่น “น่าเกลียดน่าชัง” ชื่อเด็กก็ตั้งให้น่าเกลียดเช่น อึ่ง อ่าง ฯลฯ หรือเมื่อเด็กคลอดแล้วแม่มนุษย์ก็แกล้งทำเป็นไม่นำพา หลอกผีว่าแม่ของเด็กเองยังเกลียด หมอตำแยจึงอุ้มเด็กใส่กระด้งร่อนเบา ๆ ร้องว่า “สามวันลูกผี สี่วันลูกคน ลูกของใครรับไปเน้อ” หญิงที่นั่งอยู่ในที่นั้น ซึ่งเป็นคนเลี้ยงลูกเก่ง ใจดี ก็จะเป็นผู้รับซื้อเด็ก เรียกว่า แม่ซื้อ โดยให้เงินแก่หมอตำแยเป็นพิธี (บางครั้งหมอตำแยก็รับเป็นแม่ซื้อเสียเอง)

เมื่อเด็กเจ็บป่วย เช่น ตัวร้อน นอนผวา ก็ว่าแม่ซื้อ (ที่เป็นผีมารังควาน ก็จะต้องทำพิธีทิ้งข้าวหรือขว้างข้าวให้แม่ชื้อกิน จะได้ไม่มารบกวนเด็กอีก นอกจากนั้นคนโบราณยังเชื่อว่า แม่ซื้อจะคอยช่วยคุ้มครองเด็กเมื่อตกหกล้ม หรือตกกระได ไม่ให้ได้รับอันตรายโดยแม่ซื้อจะรับไว้

ความเชื่อเรื่องแม่ซื้อนี้มีอยู่ในหลาย ๆ ชาติ เช่น อียิปต์ จีน ลาว เป็นต้น

ร้องให้ทำไมครับ...เสียใจหรือ???


สายฝนที่หล่นพรำ ตอกย้ำให้น้ำตาเจ้ากรรมไหลอาบแก้มอีกครั้ง...

ข้างกายของหล่อนคือชายหนุ่มร่างกำยำ นอนหลับสนิทเหมือนไร้ชีวิต

สิ่งที่บ่งบอกได้ว่าเขายังหายใจอยู่

คือแผ่นอกที่กระเพื่อมขึ้นลงตามจะงหวะของลมหายใจ....

นี่เธอกำลังร้องให้เหรอ? ร้องให้เพราะอะไร? เสียใจเหรอ? เปล่า

เธอดีใจต่างหาก................

แผ่นภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ เริ่มผ่านเข้ามาทีละนิด

จากภาพที่เลือนลางเหมือนความฝัน

ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น...แสงไฟวูบวาบตามจังหวะดนตรีที่เร้าใจ

เธอนั่งอยู่คนเดียวที่หน้า

เคาน์เตอร์จำหน่ายเครื่องดื่ม ของผับแห่งหนึ่ง ย่านพัฒนาการ...

“ถ้าไม่รังเกียจ ขอผมเลี้ยงเครื่องดื่มนะครับ” เสียงนุ่มๆ

ดังขึ้นที่ด้านหลังของเธอ....

เมื่อหันไปก็พบกับชายหนุ่มหน้าตาดี ส่งยิ้มให้อยู่

เมื่อสบตากันเลือดสาวในกายเธอถึงกับฉีดพล่าน...

”ดะ..ดะ..ได้สิคะ เชิญนั่งค่ะ”

เธอตะลึงจนเอ่ยปากเชิญเขานั่งอย่างไม่รู้ตัว...

”มาคนเดียวเหรอครับ?” เขาเริ่มบทสนทนาอย่างง่ายๆ...........

”อ๋อ เฉพาะวันนี้ค่ะ ปกติเพื่อนมาด้วย..”เธอตอบ..

”แล้ววันนี้เพื่อนไปไหนครับ?”...

”ไปกับแฟนค่ะ”...

”ชื่ออะไรครับ?”...

ชื่อ อาย ค่ะ”

”ผม ภูริ ครับ เรียกภูเฉย ๆ ก็ได้ ยินดีที่รู้จักครับ”

เค้ายื่นมือออกมา...

”เช่นกันค่ะ” เธอยื่นมือไปทักทาย
ทันทีที่มือของเขาและเธอสัมผัส
กันเลือดในกายเธอเริ่มฉีดพล่านอีกครั้งนึง..........นี่หรือเลือดสาวรุ่น?...

การสนทนาดำเนินไปอย่างออกรสชาติ
เขาและเธอคุยกันเหมือนรู้จักกัน

มานานแสนนานเครื่องดื่มแก้วแล้วแก้วเล่าผ่านไป...

ฤทธิ์ของแอลกอออร์บวกกับเลือดในกายเธอ

ทำให้แก้มที่อวบอิ่มของเธอเป็นสีแดงระเรื่อ..........

จนถึงเวลา




ตีสอง...ก็ถึงเวลาต้องกลับ...เขาอาสาจะไปส่งเธอที่คอนโดแถวสวนหลวงซึ่งเธอก็ไม่
ปฏิเสธ...
ตอนนนั้นเธอเองก็มีอาการมึนๆ เดินไม่ค่อยตรงทาง

ต้องให้เขาคอยประคองตลอดเวลา..........


เมื่อถึงคอนโดเขาประคองเธอขึ้นไปส่งถึงห้อง

เธอจำได้ลางเลือนว่าได้ยินเสียงปิดประตูห้อง
แต่ไม่มีเสียงเดินออกไป...ถึงตอนนี้เธอรู้แล้วว่ามันจะจบลงอย่างไร

แต่ก็ยังไม่วายตื่นเต้นอยู่ดี....


.................
เขาตื่นแล้ว นอนอมยิ้มมองเธออยู่....”ร้องให้ทำไมครับเสียใจเหรอ?”...

ฉันหันมาสบตาเขาช้าๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ แล้วตอบว่า ....


”ไม่ได้เสียใจหรอกค่ะ ดีใจต่างหาก ตั้งแต่แปลงเพศมา

คุณเป็นผู้ชายคนแรกที่ไม่รู้....คนอื่นๆ
รู้ก่อนทุกทีเลย..........”

เพิ่มพลังใจ...เติมไฟให้ชีวิต


1. สำหรับสามีที่นอนกรนตอนกลางคืน...
....เพราะเขานอนหลับอยู่ที่บ้านกับเรา และไม่ได้ไปค้างที่อื่นน่ะสิ (คิดอย่างนี้จะทำให้เราทนฟังเสียงกรนไปได้อีกนานเลย)
2. สำหรับลูกสาวที่บ่น บ่น เพราะต้องช่วยคุณแม่ล้างจาน
...เพราะนั่นหมายถึงว่า เธอน่ะอยู่บ้านและไม่ได้อยู่ตามถนน

3. สำหรับเงินภาษีที่ต้องเสีย
...เพราะนั่นหมายถึงว่า ฉันยังมีงานทำอยู่

4. สำหรับความรกและยุ่งเหยิง หลังจากงานปาร์ตี้
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีเพื่อนๆ มากมาย

5. สำหรับเสื้อผ้าที่คับไปหน่อย
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีพอจะกิน (อาจจะมากเกินไปนะ อิอิ)

6. สำหรับเงาที่ตามฉันตลอดเวลา ที่ฉันทำงาน
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันได้มีโอกาสอยู่กลางแสงแดดบ้าง

7. สำหรับพื้นบ้านและหน้าต่าง ที่ต้องเช็ดถูทำความสะอาด
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีบ้าน

8. สำหรับเสียงต่อต้านและคัดค้านต่อรัฐบาล
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีสิทธิ์ที่จะพูดและแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย

9. สำหรับที่จอดรถที่สุดท้ายที่อยู่ไกลโข
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีแรงที่จะเดินด้วยเท้า และยังโชคดีที่มีรถขับด้วย

10. สำหรับเสียงดังจากข้างบ้าน
...เพราะนั่นหมายความว่า หูฉันยังดีอยู่

11. สำหรับผ้ากองโตที่จะต้องซักและรีด
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันมีเสื้อผ้าที่จะใส่มากมาย

12. สำหรับความเหน็ดเหนื่อยและเมื่อยล้า
...เพราะนั่นหมายความว่า ฉันได้ใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ ได้ทำงานหนักมาทั้งวัน

13. สำหรับนาฬิกาปลุกตอนเช้า
...เพราะนั้นหมายความว่า ฉันยังมีชีวิตอยู่

ล้ำเส้น...ไม่เป็นไร ถ้ารู้จักถอยออกมา


ล้ำเส้น...ไม่เป็นไร ถ้ารู้จักถอยออกมา

"ความสนิทกัน" นำเรื่องดี ๆ มาสู่ชีวิตเราหลายเรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์แบบใด เมื่อสนิทกันก็เกิดความไว้ใจ ความเชื่อใจ
และก็สบายใจที่จะไปไหนมาไหน ด้วยกัน และแชร์หลาย ๆ อย่างร่วมกัน
แต่ก็เป็นเพราะ "ความสนิท" เดียวกันนี่แหละ ที่เหรียญอีกด้วนหนึ่งคือ
"สามารถทำร้ายกันได้ ง่ายขึ้น"
เหมือนลิ้นกับฟัน เหมือนช้อนกับส้อม
ที่พอใกล้ ก็ง่ายที่จะกระทบ

เปรียบเช่นวงกลมสองวง
เป็นไปได้เสมอ ที่จะเคลื่อนมาล้ำเส้นกันเอง
ด้วยบางทีต่างคนก็ต่างลืมว่าในความสนิทนั้น ไม่ได้หมายความว่า เราควรก้าวก่าย
ทุกเรื่องในชีวิต

"ถามไถ่" ต่างจากการ "สอบ ปากคำ"
"โทรหา" ต่างจากการ "โทรจิก" "โทร ตาม"
และเมื่อเหตุการณ์ "ล้ำเส้น" เกิดขึ้น
ก็ จะเกิดความรู้สึกอึดอัด ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม ความไม่เข้าใจ
และ บางทีก็ก่อให้เกิดรอยร้าวในความสัมพันธ์นั้น ๆ
แต่ถามว่า...นี่คือ เรื่องร้ายแรงที่สุดไหม
คำตอบคือ "ไม่"
ซ้ำยังถือ เป็นเรื่องธรรมดา ที่ช้อนกับส้อมย่อมเผลอกระทบกระทั่งกันได้เสมอ
แม้เรา จะระมัดระวังเพียงใดก็ตาม

ประเด็นที่สำคัญ คือทันทีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งล้ำเส้น
ต้องรู้จักการขยับก้าวถอยออกมา รู้จักที่จะขอโทษ และพร้อมจะคืนพื้นที่ส่วนตัวให้อย่างเคารพ
ไม่ใช่ดึง ดันที่จะล้ำเส้นยิ่งขึ้นไปอีก
"ด้วยไม่ว่าจะเป็นความรักแบบใด"
ความ รักที่แท้จริง "ย่อมไม่ใช่การยึดครองโลกทั้งใบของอีกคน"

วันแรกของวันที่เหลือ


ปรัชญาเต๋า; บอกว่า "คนเราไม่เคยนึกถึงตีนเมื่อรองเท้าไม่กัด"

คนเรามักมองไม่เห็นของดีที่ตนมีอยู่จนเมื่อสูญเสียมันไปแล้ว

ไม่เห็นคุณค่าของสองแขน จนกระทั่งมันอยู่ในเฝือก

ไม่เห็นคุณค่าของงาน (ที่เราว่าแย่ๆ) จนกระทั่งตกงาน

ไม่เห็นคุณค่าคนรัก (ที่เราว่าไม่เพอร์เฟ็กท์)

จนกระทั่งเธอหรือเขาไปแต่งงานกับคนอื่น

ไม่เห็นคุณค่าของพ่อแม่ (ที่เราว่าขี้บ่น) จนกระทั่งไปงานศพของท่าน

สิ่งที่คนจำนวนมากเลือกทำคือ บ่นว่าตนเองไม่มีความสุข ไม่ประสบความสำเร็จ

ไม่รวย ไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเอ่ยประโยคยอดฮิตว่า

"มันไม่แฟร์เลย"

บางที ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าโลกไม่มีความยุติธรรม ก่อนที่เราจะบ่น

ลองมองตัวเราเองดูดีๆ เราจะพบว่า เรามีอะไรดีๆ หลายอย่างที่คนอื่นไม่มี

เราสามารถทำ "หนึ่งวันเดียวกัน" ของเราให้มีความหมายได้

ก็ต่อเมื่อเราเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี และใช้วันนี้

วันแรกของวันที่เหลืออย่างคุ้มค่าที่สุด

เพราะวันแรกของชีวิตที่เหลือนี้ช่างสั้นเหลือเกิน

และเพราะเราไม่มีทางรู้ว่าเรามี "วันแรกของวันที่เหลือ" อยู่อีกสักกี่วัน

11 กันยายน 2553

ทายนิสัยจากการใช้คำนามเรียกชื่อตัวเอง


หลาย ๆ คนมักจะเรียกคำแทนชื่อตัวเองต่าง ๆ กันไป เช่น ฉัน เค้า ... หรือชื่อตัวเอง แต่คำเหล่านี้สามารถบอกได้ว่าคูรเป็นคนยังไง ไปดูกัน....


ฉัน - ชั้น
คุณเป็นคนอารมณ์ดี บางครั้งก็อารมณ์ร้าย คาดเดาอารมณ์คุณได้ยากจริง ๆ คุณมีความเป็นผู้นำสูง มักจะทำตัวเป็นคนน่ารัก ๆ เสมอ แต่ว่าถ้าคุณเจอคนที่คุณ เป็นศัตรูขึ้นมา คุณจะไม่หนีหรอก คนอย่างคุณจะต้องบุกเข้าไปหา


เรา
คุณเป็นคนที่ค่อนข้างอารมณ์ดีกว่าคนอื่น ๆ ไม่ค่อยมีความเป็นผู้นำ คุณเป็นคนอ่อนไหวง่ายแต่ว่าคุณน่ะพยายามทำตัวเป็นคนเข้มแข็งมาก ๆ ส่วนใหญ่พวกเพื่อน ๆ ของคุณคิดว่าคุณเป็นคนเข้มแข็งมาก ๆ เถียงเก่ง เวลาคุณเจอศัตรู คุณจะพยายามทำเป็นเดินหนีบางคนก็จะเข้าไปเลยล่ะ


เค้า
คุณเป็นคนมีไหวพริบ ส่วนมากจะเรียนเก่งมีความเป็นผู้นำสูงมา กๆ เป็นคนรักเดียวใจเดียว คุณเป็นคนอารมณ์เสียง่าย ชอบนินทาคนอื่นเป็นบางครั้ง


ฮา
คุณเป็นคนประเภทเบื่อโลก ชอบเซ้าซี้ออะไรบางครั้งจนน่ารำคาญ คุณเป็นคล่องแคล่วว่องไว ไม่กลัวคน ชอบลุย เวลาเจอศัตรูคุณจะไม่เดินหนี คุณจะเข้าไปลุยลูกเดียว


เดี๊ยน
คุณเป็นคนสดใสร่าเริง แต่ว่าอารมณ์เสียง่ายนิสัยเอาแต่ใจ เดาใจยาก คุณเป็นคนที่เวลาเจอศัตรูจะไม่เข้าไปใกล้ ถอยออกห่างลูกเดียว ไม่ค่อยเป็นผู้นำแต่ใจจริงคุณอยากเป็นผู้นำ


กู
คุณเป็นคนเข้มแข็ง อารมณ์เสียบ่อย ๆ เวลาคุณโกรธส่วนมากคุณจะไม่ใช้กำลัง แต่จะด่าคำหยาบอยู่บ่อย ๆ คุณมักจะมีอารมณ์ไม่ดี เวลาที่คุณเจอศัตรูคุณจะลุยเข้าหาเลยล่ะ


ชื่อตนเอง
คุณเป็นคนอารมณ์ดีเอามาก ๆ ไม่ค่อยจะโกรธใคร คุณชอบเล่นสนุกสนาน ชอบเซ้าซี้อะไรบ่อย ๆ มักจะเป็นเรื่องเดิมๆ เวลาคุณเจอศัตรูคุณจะถอยออกห่างไม่กล้าเข้าใกล้


เพื่อน ๆ เรียกแทนตัวเองว่าอะไรกันบ้างคะ...แล้วมีใครตรงบ้างเอ่ย

หยุดคำพูดไว้...ที่การกระทำ


มีท่านผู้รู้กล่าวไว้ว่า..
>>>…การพูด พูดง่าย...ทำยาก
>>>…ดูจะเป็นบทเรียนที่มีความสำคัญมาก..ในยุคปัจจุบัน..
>>>…ที่ไมต้องรอการพิสูจน์แต่อย่างใด..

บางครั้ง..
คนในโลกนี้..
มีการกระทำที่แตกต่างกันออกไป
>>>…บางคนชอบพูด...แต่ไม่ชอบลงมือทำ..
>>>…บางคนไม่ชอบพูด..แต่ชอบลงมือทำ..

บางคนพูดได้...ทำได้..ตามที่พูด...
บางคนไม่พูด...ไม่ทำ..ไม่สร้างประโยชน์อันใดเลย..
ปล่อยให้ชีวิตเป็นไปตามยถากรรม..

หลายคนเข้าใจว่า...
การกระทำสำคัญกว่าคำพูด..
เพราะเพียงแค่พูดอย่างเดียว..ก็อาจกระทำในสิ่งที่พูดไม่ได้..ก็มีเยอะ..

บางครั้งการนิ่งเงียบ..
โดยไม่ยอมปริปากพูด...ก็ดี..เป็นบางโอกาส..
บางครั้งที่ต้องการคำตอบ..แต่กลับไม่พูด..ไม่ตอบ..
กลับบอกว่า..ไม่มีเหตุผลที่จะตอบ..

บางคนก็มักเข้าใจผิดว่า...
>>>…อย่าพูดอะไรให้ป่วยการ เสียเวลาเปล่า...
>>>…อย่ากระนั้นเลย...เราลงมือทำเลยจะดีกว่า...

แบบอย่างที่ดี...เพียง ๑ อย่าง...
มีค่าและสำคัญกว่า...คำพูดตั้งร้อยคำ..พันคำ...

แต่แบบอย่างที่ไม่ดี...แม้เพียง ๑ อย่าง...
ก็ไม่มีคุณค่าอะไรเลย...ถ้าเปรียบเทียบเท่ากับคำแนะนำดี ๆ เพียงคำ..
ที่สามารถปรับเปลี่ยนความคิดและชีวิตให้ดีงาม...

ดังนั้น...
ไม่ว่าจะเป็นการพูด..หรือ..การกระทำ..
>>>…การเป็นแบบอย่างที่ดี..
>>>…จึงมีคุณค่า..งดงาม..ที่สุด..
>>>…>>>…ทั้งการพูดและการกระทำที่งดงามในชีวิต...

หยุดการพูดที่ไม่มีสาระ...ไม่มีประโยชน์...ที่โอ้อวดตนข่มท่าน
หยุดการกระทำที่ก่อให้เกิดโทษ..เกิดความเสียหาย..
มาสร้างสรรค์แบบอย่างที่ดี..เพียง ๑ อย่าง..ในชีวิต
ที่จะนำเอาคำพูดแนะนำที่งดงามมาลงมือปฏิบัติ...
>>>…เราก็จะได้ชื่อว่า...
>>>…สร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ต่อไปได้...เป็นอย่างดี..

ถามว่า....ทำมัย


เรามักจะได้ยินได้ฟังอยู่เสมอ...
เวลาที่คนเราเกิดความสงสัย...
>>>…หรือไม่เข้าใจ..
>>>…หรือได้ยินได้ฟังอะไร..ไม่ถนัดชัดเจน..

เรามักจะตั้งคำถามขึ้นในใจว่า..
>>>…ทำไม ????............

ร้อยแปดพันเก้าปัญหา..
ที่เกิดขึ้นมาในชีวิตของเราก็เช่นเดียวกัน..
>>>…เรามักพยายามที่จะตั้งปัญหา..
>>>…ให้กับชีวิตของเราอยู่เสมอ..
>>>…ตั้งแต่แรกเกิด..จนถึง..วันตาย..
>>>…คำว่า.. ทำไม ???...
>>>…ก็ยังติดตราตรึงอยู่ในใจของเราตลอดเวลา..

จากคำถามแรกที่เกิดขึ้น...
เมื่อครั้งแรกเกิดของคนเราที่ว่า...
>>>… “เราเกิดมาทำไม ????....
>>>…ซึ่งอาจจะดูว่า..เป็นคำถามที่ตื้น ๆ..ไม่ลึกซื้งอะไร..
>>>…ใคร ๆ ก็พูดได้..ถามได้..

แต่จะมีใครสักคนที่จะรู้ความหมายของคำถามนั้นอย่างแท้จริง...
>>>…ซึ่งคำถามที่ดูว่า ตื้น ๆ นี้แหละ..
>>>…เป็นคำตอบที่ยิ่งใหญ่มาก...ในชีวิตของคนเรา..

บางคนตอบว่า...
เกิดมา...เพื่อชดใช้กรรม...
บางคนตอบว่า..
เกิดมา..เพื่อทำความดี..เพื่อสร้างบารมี..

บางคนก็ตอบไม่ว่า..
เราเกิดมาทำไม...???...

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม..
ขอให้โปรดรับรู้เถอะว่า...
เราเกิดมาเพื่อใช้กรรมและสร้างกรรม..

นั่นก็คือ..
เมื่อมีโอกาสได้เกิดมาเป็นมนุษย์..
ก็ใช้หนี้กรรมเก่า..และทำกรรมใหม่..
หยุดทำกรรมชั่ว...ให้ทำแต่กรรมดี..ทั้งทางกาย..วาจา..และใจ..
>>>…เราจึงจะสามารถตอบคำถามได้ว่า..
>>>…เพราะอะไร..จึงถามว่า..เกิดมาทำไม..???...
>>>…เพราะทำไม...คือ..การสร้างประโยคคำถามให้แก่ชีวิต..
>>>…ให้เราได้คิด..ได้ทำ..ได้แก้ปัญหา..
>>>…และได้สร้างปัญญาที่ถูกต้องดีงาม..
>>>…และสร้างคุณค่าให้แก่ชีวิตหนึ่งของเรา..ที่ได้เกิดมา..ในโลกนี้..ชาตินี้

10 กันยายน 2553

5 กฎเหล็กหยุดกินจุบจิบ


สาวคนไหนที่ตั้งปฏิญาณไว้ว่า "ปีนี้ฉันจะเลิกอ้วน" แล้วยังทำไม่ได้สักที ยกมือขึ้น! นั่นเป็นเพราะคุณยังหยิบของกินตามใจปากกันอยู่หรือเปล่า? หรือยังติดนิสัยกินจุบจิบจนเลิกไม่ได้?

1. กินอาหาร

อันดับแรกคุณสาว ๆ ต้องเปลี่ยนทัศนคติการอดอาหาร แล้วกินขนมแทนข้าว เพราะนั่นจะทำให้คุณมี น้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้นซะยิ่งกว่าการกินข้าว 1 จานเสียอีก ฉะนั้นต้องกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ ที่สำคัญ ให้เน้นเป็นอาหารเมนูสุขภาพ เพื่อประโยชน์ที่ดีกับร่างกาย

2. เลือกเครื่องดื่มแทนขนม

เมื่อรู้สึกอยากกินขนมขึ้นมา ให้คุณรีบตรงดิ่งไปในครัว แล้วหยิบใบชาสมุนไพรมาชงกินแทน นอกจากจะช่วยให้คุณลดความอยากกินได้แล้ว ชาสมุนไพรยังเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ เพราะไม่มีสารคาเฟอีน แต่ถ้าอยากเพิ่มรสชาติให้อร่อยมากขึ้น แนะนำให้ใส่น้ำผึ้งแทนน้ำตาลจะดีที่สุด

3. งานอดิเรก

สำหรับสาวคนไหนที่อยู่ว่าง อยู่เฉยเป็นไม่ได้ ต้องหยิบคว้าขนมเข้าปากอยู่เรื่อย WP ขอแนะนำให้คุณหากิจกรรมที่ทำให้มือของคุณไม่อยู่เฉย อย่างเช่น การถักนิตติ้ง หรือถักโครเชต์ เพราะนอกจากจะทำให้คุณมีงานอดิเรก ยังช่วยเพิ่มเสน่ห์ความน่ารักให้ตัวคุณเองอีกด้วย

4. ออกห่างทีวี

เพราะการนั่งหน้าจอทีวีนี่แหละที่ทำให้คุณรู้สึกว่า ต้องทำอะไรสักอย่างนอกเหนือจากนั่งดูเพียงอย่างเดียว ซึ่งคำตอบสุดท้ายก็มักจะลงเอยด้วยการเดินไปตู้เย็น หรือเข้าไปในครัว แล้วควานหาของกินมานั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์ จากนั้นมือก็จะเริ่มหยิบของกินเข้าปากอย่างไม่ทันระวัง พร้อมกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

5. แปรงฟัน

เชื่อหรือไม่ว่า การแปรงฟันหลังกินอาหารเสร็จเรียบร้อยทุกมื้อ จะช่วยให้คุณสาว ๆ มีความอยากกินอาหารว่างน้อยลง นับเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยทำให้สุขภาพปากดีด้วย

09 กันยายน 2553

ทายนิสัย..จากนิ้วก้อย


วิธีการดู

หันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง โดยผู้หญิงให้ดูมือซ้าย ส่วนผู้ชายให้ดูมือขวา แล้วขีดเส้นแบ่งข้อต่อแต่ละข้อบนนิ้วก้อย จะได้ทั้งหมด 3 ข้อ ตามรูปประกอบ ส่วนที่ยาวที่สุด คือส่วนที่บอกถึงจุดเด่นในตัวคุณ

ข้อบนสุดยาวที่สุด
คุณเป็นคนมีพรสวรรค์ในการพูดจาดึงดูดคน เป็นคนพูดจาฉะฉานชัดเจนทั้งในน้ำเสียงและกิริยาท่าทาง เป็นคนช่างสังเกตและรอบคอบ

ข้อกลางยาวที่สุด
เป็นคนที่ให้ความใส่ใจต่อผู้อื่นและมีความอดทนเป็นเลิศ ลักษณะความยาวของข้อกลางนี้ ส่วนมากพบในบุคคลที่ อยู่ในวงการแพทย์เป็รส่วนใหญ่

ข้อล่างยาวที่สุด
คุณเป็นคนรักอิสระอย่างมากไม่ชอบถูกควบคุมโดยใคร เป็นคนพูดจาเปิดเผย ตรงไปตรงมา ฝีปากกล้าคมคาย ยึดมั่นในความีเหตุมีผลและจะเก่งในเรื่องการโต้เถียง หรือการโต้แย้งใดๆ

ส่วนที่สั้นที่สุด คือ ส่วนที่บอกจุดด้อยในตัวคุณ

ข้อบนสั้นที่สุด
คุณเป็นคนไม่กล้าแสดงออกอย่างมาก เป็นคนขี้อายจนถึงขนาดตัวคุณเองที่ยากจะเข้าใจในตัวเอง นอกจากนี้คุณยังเป็นคนที่ไม่มีมนุษยสัมพันธ์กับคนอื่นอีกด้วย

ข้อกลางสั้นที่สุด
คุณเป็นคนซื่อสัตย์ ยุติธรรมแน่วแน่มั่นคง อาจจะเรียกได้ว่าถึงขั้นไม่มีความประนีประนอม จนดูเหมือนความที่เป้นคนตรง กลายเป็นข้อด้อยของคุณไปเลย

ข้อล่างสั้นที่สุด
คุณเป็นคนซื่อๆง่ายๆ ไม่มีเล่ห์เหลื่ยมมารยา เชื่อคนง่ายจนกระทั่งอาจจะถูกหลอกหรือถูกโกงได้ง่าย ด้วยความไร้เดียงสาของคุณ

แบบยื่นคำร้องขอเปลี่ยนสามี

แบบ ปม.1

แบบยื่นคำร้องขอเปลี่ยนสามี
เขียน.......... ........... วันที่……..เดือน............พ.ศ.............
เรื่อง ขอเปลี่ยนสามีคนใหม่แทนคนเก่า
เรียน นายทะเบียน…………...

เนื่องด้วยข้าพเจ้า น.ส.(DiiZA)…………………………….............
ตำบล/แขวง……………………………….
อำเภอ/เขต………………………..…………..
จังหวัด…………………………………..
มีสามีชื่อ น.ส.(TomZa)…………………………… ซึ่งปัจจุบัน
สามีของข้าพเจ้าได้เกิดอาการผิดปกติอย่างมาก ตามอาการ ดังต่อไปนี้
(โปรดกาเครื่องหมาย หน้าข้อที่ตรงกับอาการของสามี)

( ) 1. ไม่อยู่ในโอวาทของภรรยา

( ) 2. ชอบทำตัวเป็นนักสืบ และช่างสำรวจ

( ) 3. จู้จี้ ขี้บ่น โวยวายไม่เป็นเวลา แม้ยามค่ำคืน

( ) 4. การบ้านไม่ทำอย่างสม่ำเสมอ

( ) 5. ผอมแห้ง แรงน้อย โดนนิด โดนหน่อย บอกหมดแรง

( ) 6. ก้าวกายหน้าที่การงานและเรื่องส่วนตัว

( ) 7. เชื่อสายตาตัวเองอย่างไร้เหตุผล

( ) 8. ทำตัวเป็นผู้นำ ชอบจูงจมูกภรรยา แลกำหนดชะตาชีวิตภรรยา

( ) 9. แก่ง่าย ตายช้า หน้าเหี่ยวย่น หมดสมรรถภาพ สิวฝ้าเต็มใบหน้า

( ) 10. นำภรรยาไปประจาน ทั้งในที่สาธารณะและสถานบันเทิง

( ) 11. ชอบเก๊กต่อหน้าเพื่อนฝูงเป็นนิจ ไม่ไว้หน้าภรรยา
( ) 12. ! ดื่มยาดอง มั่วสุมหวย และตีโง่เป็นอาจิณ


นับว่าเป็นการทำร้ายจิตใจของข้าพเจ้าอย่างรุนแรงและไ ร้เหตุผล จนมิอาจทนต่อไปได้ จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา อนุญาตให้ข้าพเจ้าเปลี่ยนสามี(TOM)ใหม่ เพื่อสุขภาพจิตที่ดี และยังเป็นการเสริมสร้างกำลังใจในการทำงานให้ได้ผลมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติและสังคมอีกด้วย


ลงชื่อ……………….ผู้ยื่นคำร้อง


(………………………)



คำเตือน: เขียนเสร็จแล้วอย่าให้สามีเห็นเป็นอันขาด มิฉะนั้นอาจ “ ตาย ” ก่อนที่คำร้องนี้จะถึงมือเจ้าหน้าที่

คำรักจากหนุ่มแต่ละคณะ



เภสัช
แค่ก...แค้ก... ขอยาให้ผมหน่อย ผมมีอาการ ไอ ...เลิฟยู

พยาบาล
หน้าที่ของผมคือเยียวยา พอรักษาหายเทอก้อจากไป

สัตวะ
Love me, Love my dog.

จิตวิทยา
สะกดจิตเป็นเรื่องง่าย สะกดใจเป็นเรื่องยาก

นิเทศ
อกหักไม่ใช่เรื่องใหญ่ ยังเล่นใหม่ได้อีกหลายเทค

นิติ
โธ่เอ๊ย...ความรักนี่ช่างไม่ยุติธรรมเลย

บัญชี
คำนวณตัวเลขอาจใช้เวลาเพียงเสี้ยวนาที แต่คำนวณใจเทอนั้นต้องใช้เวลาเป็นปี

รัฐศาสตร์
หนุ่มรัฐศาสตร์ขอบอกเทอว่า รัก...สาด...สาด

ครุศาสตร์
ผมสามารถสอนคุณได้ทุกอย่าง แต่มีเรื่องเดียวที่อยากให้คุณสอนผม

อักษร
หว่ออ้ายหนี่ ติอาโม เฌอแตม ไอเลิฟยู รักหลายเด้อ

เศรษฐศาสตร์
ได้ใจเทอคือกำไร เทอไม่สนใจคือเท่าทุน

โครงการพัฒนาsoftware
heartdisk ของเทอมีกี่ "กิ๊ก" ส่งใจไปเท่าไหร่ก้อไม่เต็มซะที

แพทย์
บุหรี่ผมก้อไม่สูบ สุขภาพก้อดูแลดี แต่พอเจอเทอทุกที ... มีอาการโรคปอดขึ้นทันใด

วิทยา
ความรักไม่มีสูตรตายตัว

ศิลปกรรม
ปั้นเท่าไหร่ก้อไม่เหมือน เพราะเทอน่ารักขึ้นทุกวัน

วิทย์กีฬา
ร่างกายแข็งแรง แต่หัวใจอ่อนแอ

สหเวช
ไม่รู้เครื่องเอ็กซเรย์ เสียรึปล่าวเพราะเอ็กซเรย์ลงไปก้อเจอแต่หน้าเทอ

สถาปัตย์
รักออกแบบไม่ได้

ทันตะ
ถ้าตรวจฟันผมคงเจอแมงกินฟัน ถ้าตรวจหัวใจผมคงเจอเทอกินใจ

วิศวะ
คณะเราผู้ชายมันเยอะนี่หว่า ...ดูไปดูมานายก้อน่ารักดีนะ

6 อาหารเพื่อฟันสวย


นอกจากการแปรงฟัน งดกินอาหารจำพวกของหวานแล้ว 6 อาหารเหล่านี้ คือ อีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้ฟันแข็งแรงทนทาน

1. แอปเปิ้ล รสหวานลิ้น ไม่เหนียว ช่วยเรียกน้ำลายได้ดี เพราะน้ำลายคือ กลไกธรรมชาติที่ร่างกายใช้ชะล้างเศษอาหารและปรับสภาพความเป็นกรด-ด่างในปาก

2. แครอท ความกรอบจะช่วยให้เหงือกสะอาดและฟันแข็งแรง ช่วยกำจัดเศษอาหาร มีเส้นใยช่วยให้ปากสะอาด ช่วยเรียกน้ำลาย

3. แครนเบอร์รี่ มีสารประกอบที่สามารถป้องกันไม่ให้แบคทีเรียเกาะติดฟัน และสกัดกั้นการก่อตัวของคราบจุลินทรีย์

4. กีวี เป็นหนึ่งในสิบของสุดยอดอาหารเพื่อความงาม มีวิตามินซีสูง ช่วยบำรุงฟัน

5. ลูกเกด คืออาหารที่นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยด์ในชิคาโก สหรัฐอเมริกาพบว่า มีกรดโอเลียโนอิก ซึ่งเป็นสารพฤษเคมีที่การทดลองในห้องแล็ปพบว่า ยับยั้งการเติบโตของแบคทีเรียในช่องปาก โดยกรดโอเลียนิกที่ความเข้มข้น 31 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ช่วยป้องกันแบคทีเรีย เอส.มิวแทนส์ไม่ให้เกาะผิวฟัน และที่ความเข้มข้น 62 ไมโครกรัมต่อมิลลิลิตร ช่วยยับยั้งการเติบโตของเชื้อพอร์ฟีโรโมนาส กิงกิแวลิส อันเป็นตัวการสำคัญของโรคเหงือกอักเสบ

6. วาซาบิ ซึ่งจากผลการวิจัยเบื้องต้นพบว่า วาซาบิมีสารไอโซธิโอเซียเนต ซึ่งยับยั้งการเติบโตของเชื้อ เอส.มิวแทนส์

08 กันยายน 2553

10 อาชีพที่ไม่มีวันจน.....

อันดับที่ 10

นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม
นักวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม รายได้ต่อเดือน 97,560 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 3,448,000 บาท

อันดับที่ 9

ผู้จัดการฝ่ายการตลาด
ผู้จัดการฝ่ายการตลาด รายได้ต่อเดือน 100,020 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 3,535,000 บาท

อันดับที่ 8

ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ระบบงานคอมพิวเตอร์
ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ระบบงานคอมพิวเตอร์ รายได้ต่อเดือน 100,110เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 3,538,000 บาท

อันดับที่ 7

เจ้าหน้าที่ดูแลจราจรทางอากาศ
เจ้าหน้าที่ดูแลจราจรทางอากาศ รายได้ต่อเดือน 100,430 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 3,550,000 บาท

อันดับที่ 6

ทนาย
ทนาย รายได้ต่อเดือน 110,590 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 3,909,000 บาท

อันดับที่ 5

ทันตแพทย์
ทันตแพทย์ รายได้ต่อเดือน 132,660 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 110,590 บาท

อันดับที่ 4

นักบินพาณิชย์
นักบินพาณิชย์ รายได้ต่อเดือน 134,090 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 4,740,000 บาท

อันดับที่ 3

เอ็นจิเนียริ่งแมเนเจอร์
เอ็นจิเนียริ่งแมเนเจอร์ รายได้ต่อเดือน 140,210 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 4,956,000 บาท

อันดับที่ 2

ซีอีโอ
ซีอีโอ รายได้ต่อเดือน 140,880 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 4,980,000 บาท

อันดับที่ 1

ศัลยแพทย์หัวใจและสมอง
ศัลยแพทย์หัวใจและสมอง รายได้ต่อเดือน 181,850 เหรียญสหรัฐ
หรือประมาณ 6,428,000 บาท


06 กันยายน 2553

ใจ 5 ประการที่ควรเลี่ยง



เราคงเคยได้ยินคำว่า ใจเป็นนาย กายเป็นบ่าว ซึ่งหมายถึง การกระทำใดๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ถูกกำหนดโดยใจเรานั่นเอง ว่าเราต้องการทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร การกระทำของเราจะดีจะชั่ว เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม ถูกหรือผิด จึงขึ้นอยู่กับใจเรานี่แหละว่ามีเจตนาเช่นไร
ในที่นี้อยากบอกเล่า ใจ 5 ประเภทที่ สาว First ควรเลี่ยงและไม่ควรเป็น เพราะจะทำให้เรากระทำไม่ดี ทำไม่ถูกต้อง ตัดสินใจผิดพลาด และอาจหมายถึงการดำเนินชีวิตผิดพลาด ครอบครัวล้มเหลว

ประเภทที่ 1 ใจเบา หมายถึง คนที่เชื่อใครง่ายๆ เรามักพูดถึงคนประเภทนี้ว่า พวกหูเบา ได้ยินมาไม่เคยได้คิดไตร่ตรองว่าควรเชื่อหรือไม่ หรือต้องตรวจสอบก่อนหรือเปล่า ถ้าเราเป็นคนเช่นนี้ คงเล่นกับข่าวทั้งวัน คำครหานินทานี่แหละชอบนัก สุดท้ายอาจตกเป็นเครื่องมือของผู้อื่นโดยไม่รู้ตัว ดีไม่ดีต้องเสียเพื่อนเสียลูกน้อง ที่หนักกว่า ก็คือ อาจต้องเสียคนรัก เพราะความหูเบาของเรานี่แหละ

ประเภทที่ 2 ใจรั้น ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะเชื่อมั่นตนเองเกินไป จนไม่ฟังความเห็น ข้อแนะนำหรือข้อท้วงติงจากผู้อื่น พวกคนดื้อรั้นอาจสูญเสียโอกาสดีๆ งามๆ ไป เพราะคิดว่าตัวเองถูกเสมอ หรือบางครั้งก็ห่ามเกินไป ไม่ดูจังหวะจะโคน สร้างความเสียหายได้เช่นกัน

ประเภทที่ 3 ใจชอบยึดติด คนแบบนี้จะกลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าคิดทำสิ่งใหม่ๆ หรือพูดง่ายๆ พวกติดกรอบ ไม่กล้าคิดนอกกรอบกลายเป็นกบในกะลา ถ้าเราเป็นพวกแบบนี้คงหาความก้าวหน้าในชีวิตยาก เพราะจัดอยู่ในพวกหญิงโบ(ราณ) เป็นแน่แท้

ประเภทที่ 4 ใจผูกพยาบาทจองเวร พวกนี้คิดอยู่เสมอว่า แค้นต้องชำระ เพราะฉะนั้นถ้าใครทำให้โกรธหรือเจ็บแค้น จะจดจารึกไว้ในสมองอย่างดี และคอยหาจังหวะล้างแค้นกลับ เพราะฉะนั้น ใจจึงมีแต่ทุกข์ ในทรวงมีแต่ไฟ หามีสุขไม่

ประเภทที่ 5 ใจบาป คิดแต่จะเอาเปรียบและมุ่งร้ายต่อผู้อื่น ขอเพียงแต่ทำแล้วตนได้ดีเป็นใช้ได้ ใครเดือดร้อนฉันไม่สน ไม่คิดถึงใจเขาใจเราเอาแต่ใจตนเอง พร้อมที่จะใช้คนอื่นเป็นสะพานข้ามไปสู่ความสำเร็จ เหยียบได้เหยียบ ข้ามได้ข้าม

ใจทั้ง 5 ประเภทนี้จึงควรเลี่ยง อย่าให้มาครอบงำจิตใจเราได้ ทางแก้ไม่ยาก คิดตรงข้าม อย่าใจเบาหูเบา ฟังแล้วคิดไตร่ตรอง รับฟังความเห็น ไม่ยึดติด รู้จักให้อภัย และที่สำคัญ มีใจเมตตา ถ้าทำได้ตามนี้ ได้เป็นสาวดีเลิศประเสริฐศรีเป็นแน่แท้

คุณดูแลต้น "แคร์" ของคุณดีแค่ไหน


เวลามีปัญหา เวลามีเรื่องกระทบกระทั่งกัน

เคยแคร์ความรู้สึกคนอื่นบ้างใหม?

เคยคิดถึงใจเขา - ใจเรา หรือไม่ ?

ช่างมันฉันไม่แคร์ หรือ เขาไม่มีค่าพอให้เราแคร์ !

แคร์ความรู้สึกคนอื่นไม่ใช่เรื่องอ่อนแอ แต่เป็นเรื่องอ่อนโยน

มิใช่เรื่องแข็งกระด้าง แต่เป็นเรื่องจิตใจที่แข็งแกร่ง

มิใช่เรื่องพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่

เธอง้อฉันก่อนสิ ! ต่างคนต่างรอ สุดท้ายก็จะเป็นศิลามนุษย์

เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะเริ่มเป็นคนที่อ่อนโยน

เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะปรับตัวก่อน

เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะขอโทษเป็น

เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะยอมแพ้โดยง่ายดาย

เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น สุดท้ายคนอื่นก็จะต้องกลับมาแคร์คุณ………

ต้นแคร์เมื่อปลูกแล้วอย่าให้โตเองโดยธรรมชาติ

แต่เจ้าของชีวิตต้องรดน้ำพรวนดินสม่ำเสมอ

ต้นแคร์ไม่มีในหัวใจของคนแข็งกระด้าง

แคร์คนอื่นเขาบ้าง ให้ความอาทรเป็นดั่งสายธารหลั่งใหลที่ฉ่ำชื่น

แล้วเราจะเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ มีจิตใจดีงาม มีเสน่ห์

แล้วทุกวันนี้ล่ะ คุณดูแลต้นแคร์ของคุณดีแค่ไหน ...

ความรักของฉันมีเท่านี้แหระ


ฉันไม่มั่นใจว่าฉันจะรักเธอตลอดไป
แต่ฉันจะรักเธอให้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะรักใครคนหนึ่งได้

ความรักของฉันไม่ใช่ความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน
เพราะมันเป็นความรักที่ต้องการความรักของเธอตอบแทน

ฉันไม่มั่นใจว่าฉันจะดูแลเธอได้ดีกว่าใครๆ
แต่ฉันจะดูแลเธอมากกว่าที่ฉันดูแลตัวฉันเอง

ฉันไม่สั­­าว่าฉันจะอยู่กับเธอตลอดเวลา
แต่ทุกครั้งที่เธอเสียใจฉันสั­­าว่าฉันจะอยู่เคียงข้างเธอ

ฉันไม่มั่นใจว่าฉันจะไม่ทำให้เธอร้องไห้
แต่ฉันมั่นใจว่าฉันจะทำให้เธอยิ้มได้


ฉันคงจะไม่บอกรักเธอทุกวัน
แต่ฉันนั้นจะรักเธอทุกวินาที

ฉันจะไม่ขอให้เธอฝันดีทุกคืน
เพราะฉันไม่รู้ว่าฝันดีของเธอจะมีฉันอยู่ในนั้นด้วยรึเปล่า
แต่ถ้าคืนไหนที่เธอฝันร้าย
ฉันจะเข้าไปช่วยเธอในฝันเสมอ

ความรักของฉันมันคงไม่มีค่าอะไร
ถ้าหากว่าเธอไม่สนใจมัน

ความรักของคนอื่นที่ให้ฉันก็ไม่มีค่าอะไร
เพราะว่ามันไม่ได้มาจากเธอ

ฉันไม่ได้ต้องการให้คนรักของฉันดีเลิศเลออะไรมากมาย
ฉันขอแค่คนที่ฉันรักนั้นคิดถึงฉันมากกว่าที่เขาคิดถึงคนอื่น
และฉันก็คิดถึงเค้ามากกว่าที่ฉันคิดถึงคนอื่นเช่นกัน

ความรักของฉันไม่ได้มีมากมายล้นฟ้า
เพราะความรักของฉันนั้นมีเพียงพอสำหรับเธอคนเดียว

4 วิธีธรรมชาติล้างคราบหมึก


คราบน้ำหมึกปากกาที่เป็นรอยเปื้อนอยู่บนเสื้อขาวนั้นช่างเหมือนฝันร้ายที่แม่บ้านหลายคนไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยจริงๆ แต่ถ้ามันเกิดแล้วล่ะจะทำไงดี วันนี้ความกังวลของหลายคนจะหมดไป เพราะมี 4วิธีง่ายๆที่ล้างคราบหมึกออกอย่างหมดจด

นมสด ( Fresh milk) ใช้นมสดทางลงไปบริเวณที่เลอะคราบหมึก ประมาณ 2-3 นาที เมื่อเห็นว่า คราบหมึกค่อยๆ จางลงไปแล้ว รอให้รอยน้ำหมึกมีลักษณะเหมือนกับก้อนเมฆ แล้วให้ล้างออกด้วยน้ำเย็น และซักหลายๆ ครั้ง

เบคกิ้งโซดา (Baking Soda) ใช้เบคกิ้งโซดาผสมน้ำเปล่าแล้วทาบริเวณที่รอยเปื้อนหมึก แต่ระวังอย่าทามากจนเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้รอยหมึกยิ่งแผ่ออกเป็นวงกว้าง จะยิ่งทำให้รอยเปื้อนหมึกกลางเป็นจุดใหญ่ขึ้นล้างออกยาก ล้างออกด้วยน้ำสะอาด

น้ำส้มสายชูเวเนก้าและแป้งข้าวโพด ( Vinegar and Cornstarch) ใช้แป้งข้าวโพด 3 ส่วนต่อ น้ำส้มสายชู 2 ส่วน ผสมให้เข้ากัน แล้วนำไปทาบริเวณที่มีรอยเปื้อน วิธีนี้เหมาะกับรอยคราบที่ฝังลึกติดนาน เพราะน้ำส้มสายชูเวเนก้ามีฤทธิ์เป็นกรด ทำให้สามารถสลายคราบรอยเปื้อนได้เป็นอย่างดี แต่วิธีนี้ไม่ควรใช้กับผ้าสี เพราะอาจทำให้ผ้าสีมีสีที่จางลงหรือเปลี่ยนแปลงไปได้ รอให้แห้งสนิท แล้วค่อยซักด้วยมือให้สะอาด

น้ำมะนาว (Lemon Juice) มะนาวดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งธรรมดา และมันประโยชน์มหาศาล นอกเหนือจากคราบหมึกแล้วคราบส่วนใหญ่ก็สามารถใช้น้ำมะนาวได้ น้ำมะนาวสดทาบริเวณคราบเปื้อน ทิ้งไว้ประมาณ ครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออกด้วยน้ำอุณหภูมิปกติ



ได้เคล็ดลับดีๆ อย่าลืมลองเอาไปใช้กันดู ทุกวิธีไม่มีอันตราย เพราะใช้สารจากธรรมชาติทั้งนั้น แถมยังช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

โค้กทอด


เจ้าของ ไอเดีย “โค้กทอด” คือ อเบล กองซาเลส นักวิเคราะห์หนุ่มวัย 36 ปี จากดัลลัสซึ่งเขาสามารถ พิชิตรางวัลสุดยอด ไอเดีย สร้างสรรค์ ในงานมหกรรมอาหารที่รัฐเท็กซัสได้สำเร็จ

หลังโชว์ ไอเดีย บรรเจิดคิดค้นเมนูใหม่แหวกแนว “โค้กทอด” ออกมาให้นักชิมได้ลิ้มลอง “มันรสชาติเยี่ยมมาก” ซู กูดดิง โฆษกหญิงของงานมหกรรมอาหารแห่งรัฐเท็กซัสกล่าว

ส่วนผสม

1.แป้งเค้ก 1 1/2 ถ้วยตวง
2.ผงฟู 1 ช้อนชา
3.เกลือ 1/2 ช้อนชา
4.ยีสต์ผง 1 ช้อนชา
5.โค้ก 3/4 ถ้วยตวง
6.น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
7.น้ำตาลไอซิ่ง
8.วิปปิ้งครีมสำเร็จรูปสำหรับตกแต่งหน้า

วิธีทำ

1.นำโค้ก(ที่ยังไม่แช่เย็น)ไปอุ่นรอไว้ หรือเอาเข้าไมโครเวฟประมาณ 30 วินาทีก็ใช้ได้ค่ะ

2.ผสมแป้ง ผงฟู เกลือ ยีสต์ผง น้ำมันพืชเข้าด้วยกันในอ่างผสม แล้วเติมโค้กที่เราอุ่นไว้แล้วลงไป จากนั้นก็ผสมให้เข้ากันด้วยมือ นวดไปเรื่อยๆ จนพอปั้นได้ค่ะ

3.พอนวดได้ที่แล้ว ก็คลุมด้วยพลาสติกทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง หลังจากพักได้ที่แล้ว ก็นำแป้งมาปั้นเป็นก้อนกลมๆ เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 นิ้ว

4.ลืมบอกไปค่ะว่า ระหว่างที่ปั้นแป้งให้นำน้ำมันที่จะทอดใส่หม้อ ใส่ลงไปเยอะๆ เลยค่ะ ใส่ลงประมาณ 1ใน3 ของหม้อ ถ้าใช้หม้อจะไม่เปลืองน้ำมันเหมือนกระทะอยู่แล้ว พอปั้นแป้งเสร็จ น้ำมันร้อนได้ที่พอดี ใช้ไฟปากกลาง พอใส่แป้งลงไปทอดก็ลดไฟลง 1 สเต็ปค่ะ

5.ทอดจนสุกเหลือง คอยกลับด้านอยู่เรื่อยๆ จะใช้ตะเกียบคอยคีบกลับด้านก็ได้ค่ะ

6.ทอดเสร็จก็ตักขึ้นใส่จานที่รองด้วยกระดาษซับน้ำมัน

7.ทิ้งไว้พออุ่น ก็นำขนมที่ได้มาคลุกกับน้ำตาลไอซิ่ง

8.เสร็จแล้วก็นำใส่แก้ว ราดด้วยวิปปิ้งครีม พร้อมเสริฟ

เป็นเมนูใหม่ๆ ที่อยู่ไกลถึงรัฐเท็กซัส ใครที่อยากชิม ต้องลองทำกินกันเองแล้วหล่ะ

จากใจหมา


1. ชีวิตของฉันอย่างมากก็จะสิ้นสุดเพียงแค่ 10-15 ปีเท่านั้นการต้องแยกจากเธอไม่ว่าด้วยเหตุใด ๆ นับเป็นความปวดร้าวอย่างยิ่งของฉัน..จึงโปรดสังวรให้จงหนักก่อนจะรับฉันเข้ามาในชีวิต

2.ให้เวลากับฉันสักหน่อยเพื่อทำความเข้าใจให้ชัดเจนว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน

3. จงเชื่อมั่นในตัวฉันเพราะเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับความเป็นอยู่ของฉัน

4. อย่าโกรธฉันให้นานนัก และอย่าลงโทษฉันด้วยการกักขังเธอมีทั้งหน้าที่การงาน ความบันเทิงและมิตรสหายแต่ฉันนั้น..มีเพียงเธอ

5. พูดกับฉันบ้าง แม้ฉันจะไม่เข้าใจคำพูดแต่ฉันก็เข้าใจเธอได้จากน้ำเสียง

6. พึงระลึกอยู่เสมอว่า...ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติอย่างไรต่อฉันฉันจะไม่มีวันลืมเลือนเลย

7. โปรดอย่าทุบตีฉัน เพราะแม้ฉันจะทุบตีเธอกลับไม่ได้แต่ฉันก็สามารถกัดหรือข่วนตะกุยเธอได้ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันไม่อยากกระทำเลย

8. ก่อนจะดุด่าฉันสำหรับท่าทีที่คล้ายไม่เชื่อฟัง ดื้อดึง เกียจคร้านขอจงได้ถามตัวเธอเองก่อนว่า เกิดสิ่งผิดปกติกับตัวฉันหรือไม่
บางทีอาจจะมาจากเรื่องของอาหาร หรือถูกทิ้งไว้กลางแดดนานเกินไปหรือหัวใจของฉันแก่ชราและอ่อนล้าเสียแล้ว

9. ดูแลฉันเมื่อยามแก่เฒ่าด้วย เพราะวันหนึ่งเธอก็ต้องเป็นเช่นนั้น

10. อยู่กับฉันเมื่อช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาถึงขออย่าได้พูดเป็นอันขาดว่า "ฉันทนดูไม่ได้ขออย่าให้มันเกิดขึ้นต่อหน้าเลย" เพราะเรื่องราวทั้งหมดจะง่ายขึ้นหากเธออยู่ด้วย

สำหรับคนที่เห็นคุณค่าของคำว่า "เพื่อน"


สำหรับคนที่เห็นคุณค่าของคำว่า” เพื่อน”


คอยเตือน ยามเพื่อนพลั้ง
คอยฟัง ยามเพื่อนขอ
คอยรอ ยามเพื่อนสาย
คอยพาย ยามเพื่อนพัก
คอยทัก ยามเพื่อนทุกข์
คอยปลุก ยามเพื่อนท้อ

คอยง้อ ยามเพื่อนงอน
คอยสอน ยามเพื่อนผิด
คอยสะกิด ยามเพื่อนเผลอ
คอยเจอ ยามเพื่อนหา
คอยลา ยามเพื่อนกลับ
คอยปรับ ยามเพื่อนเปลี่ยน
คอยเรียน ยามเพื่อนเที่ยว
คอยเคี่ยว ยามเพื่อนเล่น
คอยเย็น ยามเพื่อนร้อน

คอยหอน ยามเพื่อนเห่า (เพื่อนกรูเป็นหมาใช่ปะเนี่ย)
คอยเฝ้า ยามเพื่อนฟุบ
คอยอุบ ยามเพื่อนปิด
คอยคิด ยามเพื่อนถาม
คอยปราม ยามเพื่อนหลง

คอยปลง ยามเพื่อนแกล้ง
คอยแบ่ง ยามเพื่อนหมด
คอยอด ยามเพื่อนทาน
คอยคาน ยามเพื่อนล้ม
คอยชม ยามเพื่อนชนะ
คอยสละ ยามเพื่อนชอบ
คอยมอบ ยามเพื่อนต้องการ

ทำไมแพะต้องรับบาปด้วย



"แพะรับบาป"


พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้อธิบายว่า เป็นสำนวน ซึ่งหมายถึงคนที่รับเคราะห์กรรมแทนผู้อื่นที่ทำกรรมนั้น

ส่วนที่มาของสำนวนนี้ พจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พิมพ์ครั้งที่ ๒ (แก้ไขเพิ่มเติม) ได้ระบุไว้ ดังนี้
ที่มาของคำว่า แพะรับบาป นี้ ปรากฏในคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม
ซึ่งเป็นคัมภีร์ของชาวอิสราเอลผู้มีภูมิหลังเป็นผู้มีอาชีพเลี้ยงแพะ เลี้ยงแกะ

แพะรับบาปเป็นพิธีปฏิบัติในวันลบบาปประจำปีของชาวอิสราเอล
ซึ่งเริ่มต้นด้วยปุโรหิตถวายวัวเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของตนเองและครอบครัว

เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ปุโรหิตจะนำแพะ ๒ ตัวไปถวายพระเป็นเจ้าที่ประตูเต็นท์นัดพบ และจับสลากเลือกแพะ ๒ ตัวนั้น

สลากที่ ๑ เป็นสลากสำหรับแพะที่ถวายพระเป็นเจ้า อีกสลากหนึ่งเป็นสลากสำหรับแพะรับบาป หากสลากแรกตกแก่แพะตัวใด แพะตัวนั้นจะถูกฆ่าและถวายเป็นเครื่องบูชา เพื่อไถ่บาปของประชาชน เรียกว่า "แพะรับบาป"

ส่วนสลากที่ ๒ หากตกแก่แพะตัวใด แพะตัวนั้นเรียกว่า "แพะรับบาป"
ซึ่งปุโรหิตจะถวายพระเป็นเจ้าทั้งยังมีชีวิตอยู่ แล้วใช้ทำพิธีลบบาปของประชาชน โดยยกบาปให้ตกที่แพะตัวนั้น เสร็จแล้วก็จะปล่อยแพะตัวนั้นให้นำบาปเข้าไปในป่าลึกจนแพะและบาปไม่สามารถกลับมาอีก

ส่วนในศาสนาฮินดู เซอร์มอเนียร์ วิลเลียมส์ สันนิษฐานว่า
การฆ่ามนุษย์บูชายัญคงไม่เป็นที่ถูกอัธยาศัยพื้นฐานของพวกอารยัน

คัมภีร์พราหมณะจึงอธิบายว่าเทวดาฆ่ามนุษย์

ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชายัญก็ออกไปจากมนุษย์เข้าสู่ร่างม้า

ม้าจึงกลายเป็นสัตว์ที่เหมาะสมจะใช้บูชายัญ

เมื่อฆ่าม้า ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชาก็ออกจากม้าไปเข้าร่างโค

เมื่อฆ่าโค ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชาก็ออกจากโคไปสู่แกะ จากแกะไปแพะ

ส่วนที่เหมาะสมจะใช้บูชา คงอยู่ในตัวแพะนานที่สุด

แพะจึงกลายเป็นสัตว์ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับใช้ฆ่าบูชายัญ

ทอมหล่อๆ ค๊ ม๊ ช่าย ผู้ชาย

05 กันยายน 2553

ที่มาของสำนวนไม่ดูตาม้าตาเรือ



ที่มาของสำนวนนี้มาจากการเล่นหมากรุกไทยค่ะ

ตา คือ ตาตารางบนกระดานหมากรุก มี 64 ตา

ม้า และ เรือ เป็นตัวหมากรุก ม้าเป็นตัวหมากรุกที่เดินหักมุมไปสามตา ส่วนเรือเป็นตัวหมากรุกที่เดินตามยาวได้ตลอดกระดาน ทั้งม้าและเรือมีลักษณะการเดินเป็นพิเศษ ทำให้ระวังยาก คนที่เล่นหมากรุกเป็นคงจะรู้ว่า ตัวหมาก 2 ตัวนี้มีความสำคัญมากในการที่จะเอาชนะ เพราะมันจะสามารถวางกลยุทธิ์กินตัวมากอื่นได้ง่าย

ไม่ดูตาม้าตาเรือ คือ ไม่ระมัดระวัง ไม่ดูตาที่ม้าหรือเรือของอีกฝ่ายหนึ่งจะเดินมาได้ อาจจะต้องถูกม้าหรือเรือกิน ทำให้เสียตัวหมากรุกไป

เมื่อนำมาใช้เป็นสำนวน ไม่ดูตาม้าตาเรือ หมายความว่า สะเพร่า ไม่ระมัดระวัง เช่น เดินไม่ดูตาม้าตาเรือเตะถังใส่น้ำ น้ำกระฉดกเลอะพื้นหมดแล้ว เขาเดินตรงไปหาเพื่อนที่อยู่มุมห้อง โดยไม่ดูตาม้าตาเรือว่าเพื่อนกำลังพูดอยู่กับใคร







ปัสสะวะ อย่างไรให้ถูกวิธี



1. อย่ากลั้นปัสสาวะโดยเด็ดขาด เมื่อรู้สึกปวดท้องต้องไปปัสสาวะทันที

2. เวาลปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดชำรุดได่

3. ควรถ่ายปัสสาวะให้หมดหรือให้เหลือน้อยที่สุด คือ เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสวะที่เหลือจะไหลออกมา

4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัยหรือจะรู้สึกว่าปวดปัสสาวะตลอดเวลา ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ ประมาณ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครึ่ง

5. ให้สังเกตการปัสสวะและน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้ง เช่น ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะพุ่งดีหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเช่นไร เเป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถเบ่งบอกความผิดปกติของร่างกายได้

6. หลังปัสสาวะควรใช้กระดาษชำระซับอวัยวะเพศให้แห้งทุกครั้ง หรืออาจจะล้างทำความสะอาดได้ แต่อย่าให้เปียกขึ้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้

7. ถ้าปัสสาวะไม่ออก ต้องไปพบแพทย์ อย่าซื้อยารับประทาน เพราะจะเกิดอันตรายได้

8. การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก)วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

9. ควรดื่มน้ำสะอาดิอย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใสมีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

10. ก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ไม่ควรมีสิ่งอื่นเจือปน เช่น มูก หนอง น้ำเหลือง หรือเลือดถ้ามีถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์ทันที

12. การขับถ่ายปัสสาวะต้องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากต้องไปพบแพทย์ทันที

13. เราทุกคนควรปัสสาวะอย่างน้อยวันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะใน 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตรายต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

04 กันยายน 2553

สิ่งเดียวที่สำเร็จ คือ....ความล้มเหลว




1.ไม่รู้จักตนเอง
เพราะไม่รักตัวเอง จึงไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
เพราะไม่รู้ศักยภาพของตัวเอง จึงไม่มีจุดยืนของตัวเอง


2. ไม่เข้าใจคนอื่น
เพราะไม่เปิดใจ จึงไม่เข้าใจความแตกต่าง
เพราะไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา จึงไม่ได้เอาคนอื่นมาเป็นคติสอนใจ

3. ไม่มีเป้าหมาย
เพราะขาดความเชื่อศรัทธา จึงขาดแรงผลักดัน
เพราะไม่มีแรงบันดาลใจ จึงขาดแรงจูงใจ
เพราะไม่เจอปัญหา จึงขาดไฟ
เพราะไม่มีModel จึงขาดVistion
เพราะไม่มีจินตนาการ จึงขาดความรู้
เพระาไม่มีสติ จึงขาดปัญญา


4. ยังไม่ได้ลงมือทำ
เพราะเพิกเฉย จึงพลัดวันประกันพรุ่ง
เพราะกลัว จึงไม่กล้าตัดสินใจ
เพราะรอ จึงยังไม่พร้อม
เพราะขี้เกียจ จึงงานเยอะ
เพราะยังไม่อยากทำ จึงไม่บริหารเวลา
เพราะไม่ยอมเปลี่ยน จึงไม่ลงมือทำ

5. ยังไม่ได้ประเมินผล
เพราะยังไม่ได้ใส่ใจ เลยไม่รู้ปัญหา
เพราะยังไม่ได้ทบทวน เลยไม่ได้ใคร่ครวญให้ดี
เพราะมัวแต่เพ่งโทษตนเอง เลยยึดติด
เพราะไม่มีทางออก ก็เลยต้องออกนอกเส้นทางบ่อยๆ
เพราะไม่ได้แก้ไข จึงไม่ได้ปรับปรุง
เพราะสักแต่ว่าทำ เลยไม่ทำให้ดีกว่าเดิม
เพราะเผลอ จึงประมาท

6. ยังไม่มีคนคอยชี้ทาง
ไม่มีครู ไม่มีเพื่อนร่วมทาง ไม่มีคนเกื้อหนุน ไม่มีคนช่วยเหลือ
7. คุณรู้แก่ใจ_.(ปลายทาง)


จาก teenee.com

รู้อาจแต่ไท่เท่าทัน

เมื่อเราอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานาน
เรามักจะคิดเหมาไปเองว่า
ตัวเองรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับสิ่งนั้นดีแล้ว
แต่ความจริงเรากลับไม่รู้เท่าทันหรือมากพอ
บางคนคุ้นเคยกับงานที่ตัวเองกำลังทำ และคิดว่าตัวเองรู้ดีแล้ว
แต่พอทำ ๆ ไป กลับพบว่ามีอีกมากมายที่ตัวเองยังต้องศึกษา
และไม่มีวันเรียนรู้ได้จบสิ้น
เพราะมันจะมีสิ่งใหม่ ๆ เข้ามาเป็นบทเรียน
ให้เราได้ทดสอบอยู่เรื่อย ๆ
ยกตัวอย่างกับงานออกแบบตัดเย็บเสื้อผ้าที่ฉันคุ้นเคย
มีประสบการณ์เป็นสิบ ๆ ปี
ผ่าน "แบบ" หรืองานที่เรียกว่า "หิน" มามากมาย
แต่ปัญหาที่เจอกลับพบว่าเป็นแบบที่เรียบ ๆ ง่าย ๆ
ที่คิดว่าไม่มีอะไร
นี่แหระ...คืองานที่ยากที่สุด
เพราะนอกจากจะต้องสร้างแพทเทอร์นให้สวย
เข้ารูปร่างได้อย่างพอดีแล้ว
แต่ละฝีเข็มที่เย็บก็ต้องดีแบบไร้ที่ติ
ก็เพราะความเรียบง่ายของแบบนี่เอง
จะทำให้มองเห็นจุดบกพร่องได้ชัดเจน
สิ่งที่คิดว่าน่าจะง่าย กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด
ยังต้องเรียนรู้ และพิถีพิถันมากขึ้นเป็นพิเศษ
บางทีอาจจะมากกว่างานหรือแบบที่คิดว่ายากด้วยซ้ำ
...........เมื่อใดก็ตาม...............
ที่เราคิดว่าเรารู้คำตอยแล้วทุกอย่างเมื่อไหร่ ฉันคิดว่า....
เราคงต้องตั้งคำถามกับความคิดตัวเองเสียใหม่แล้ว


ที่มา teenee.com

โดย..PuiDiiZa@Thai